วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

Petr Cech



ปีเตอร์ เช็ก (Peter Cech)
ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู, หมายเลขเสื้อ 1
อายุ 22 เกิด 20/05/1982
สูง 196 ซม. เชื้อชาติ เช็ก

เจ้าของความสูง 6 ฟุต 7 นิ้ว ปีเตอร์ เช็ก เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 ปีเตอร์
เป็นลูกชายของนักกีฬาทศกรีฑาระดับทีมชาติ

โดยเขาเริ่มต้มชีวิตการเล่นฟุตบอลกับสโมสรท้องถิ่น วิตตอเรีย ปาเซน
ก่อนจะได้รับโอกาสเทิร์นโปรกับ ชเมล บลาซานี่ สโมสรระดับดิวิชั่น 1 ของสาธารณเช็ก
พออายุ 19 ปี เช็ก ถูกขายให้สปาร์ต้า ปราก ด้วยค่าตัว 400,000 ปอนด์

และเขาก็ได้สร้างสถิติไม่เสียประตูยาวนานที่สุดของประเทศด้วยเวลา 904 นาที
ทำให้อีก 1 ปีให้หลัง แรนส์ สโมสรระดับกลางของแดนน้ำหอมยอมควักเงิน 3 ล้านปอนด์แลกตัวเขาเข้ามาสู่ทีม
จากนั้น เช็ก เริ่มฉายแววยอดนายทวารออกมาจนเป็นที่จับตาของวงการลูกหนังยุโรป

เริ่ม จากการพาทีมชาติชุดยู -21 คว้าแชมป์ยุโรปอายุต่ำกว่า 21 ปี ในเดือนพฤษภาคม ปี 2002 โดยรับบทฮีโร่เซฟ 2 จุดโทษในรอบชิงชนะเลิศกับทีมชาติฝรั่งเศส

และก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งมีโอกาสสัมผัสเกมทีมชาติชุดใหญ่กับฮังการี ในเดือนกุมภาพันธ์
และยังไม่เสียประตูให้คู่แข่งอีกด้วย

คงไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าหลังจากนั้นผู้รักษาประตูสายเลือดเช็กก็เริ่มได้รับโทรศัพท์จากอภิมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย
ไม่ต่างอะไรกับซุปเปอร์สตาร์ลูกหนังคนอื่น ๆ เมื่อข้อเสนอค่าเหนื่อเป็นที่ถูกใจก็พร้อมจะเก็บข้าวของย้ายมาสู่

แสตมฟอร์ด บริดจ์ เช็ก ที่ยังคงจดจำได้ดีว่าสมัยเด็ก ๆ เขาต้องเปลี่ยนใจหันมาเล่นฟุตบอลเพราะอุปกรณ์ฮอกกี้มีราคาแพงเกินไป
ปัจจุบัน เช็กได้เซ็นสัญญากับสโมสรเซลซี 5 ปี ด้วยค่าตัว 7.1 ล้านปอนด์

เขาสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมกับต้นสังกัดจนสามารถพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและแชมป์คาร์ลิงค์คัพในฤดูกาล 2004 - 2005

Didier Drogba

ชื่อ - สกุล : Didier Drogba ( ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ) นักฟุตบอลของทีมชาติไอวอรี่โคสต์ และทีม เชลซี
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : เอ็มมานูเอล อเดบายอร์
วันเกิด : 26 กุมภาพันธ์ 1984
เกิดที่ : โลเม่, โตโก
ตำแหน่ง : กองหน้า
ส่วนสูง : 193 ซม.
สโมสรปัจจุบัน : อาร์เซน่อล
หมายเลขเสื้อ : 25
ประวัติ : นับตั้งแต่ย้ายมาเป็นสมาชิกในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อปี 2004 ดร็อกบา ก็กลายเป็นหนึ่งในศูนย์หน้า ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรป และเป็นกำลังสำคัญ ที่ช่วยให้เชลซีผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้ถึง 2 สมัยด้วย


          หัวหอกทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ที่สื่อเรียกขานกันว่า "The Drog" เป็นนักเตะที่ถือว่าแจ้งเกิดค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับผู้เล่นส่วนใหญ่ที่มัก จะเริ่มเจิดจรัสกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
          อย่างไรก็ตาม แม้อายุจะใกล้แตะเลข 3 เข้าไปทุกขณะ แต่ ดร็อกบา ก็ยังมีพร้อมทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความทุ่มเท ที่พร้อมจะสร้างความหนักใจให้กองหลังทีมคู่แข่งได้เสมอ จนมีข่าวว่า บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ของสเปน พร้อมจะทุ่มเงินก้อนโตเพื่อดึงไล่ตาข่าย
         ดร็อกบา ระเบิดฟอร์มได้สุดยอดในฤดูกาล 2006/07 เมื่อเหมาคนเดียวถึง 33 ประตูรวมทุกรายการ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูให้เชลซีได้มากที่สุด นับตั้งแต่ที่ เคอร์รี่ ดิ๊กสัน เคยทำได้ในฤดูกาล 1984/85 และ 20 ประตูที่ทำได้ในลีก ก็ทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ชิพไปครอง
         นอกจากนั้น การลงสนามทั้งหมด 60 นัด ยังทำให้เขาเป็นนักเตะที่ลงสนามต่อซีซั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรด้วย
         ไม่เพียงแต่จะทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ดร็อกบา ยังมักจะเป็นคนทำประตูสำคัญๆ ซึ่งรวมถึงการเหมาคนเดียว 2 ลูกให้ "สิงห์บลูส์" เอาชนะ อาร์เซน่อล 2-1 พร้อมกับคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ไปครองในปี 2007, ทำประตูได้ในเกมที่พบกับ บาร์เซโลน่า ทั้งเหย้าและเยือน ก่อนจะกลายเป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาคนแรก ที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ได้ ซึ่งเป็นประตูชัยที่ทำให้เชลซี เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
         ดร็อกบา ย้ายจาก โอลิมปิก มาร์กเซย มาร่วมทีมเชลซี ในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ (ราว 1,680 ล้านบาท) พร้อมกับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีก เอิง ฝรั่งเศส เป็นเครื่องการันตีความสามารถ
         นักเตะผู้พาไอวอรี่โคสต์ได้ร่วมสังฆกรรมในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 2006 ย้ายจากทวีปแอฟริกา มาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งแบ็กขวา
         หลังจากที่ได้เล่นให้กับสโมสรเล็กๆ มาแล้วหลายครั้ง ดร็อกบา ก็ตัดสินใจที่จะปฏิเสธข้อเสนอการทดสอบฝีเท้ากับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนจะร่วมทีม เลอ ม็องส์ ในดิวิชั่น 2 ของเมืองน้ำหอม และเลื่อนขึ้นมาเล่นในลีก เอิง กับ แก็งก็อง
         การทำได้ 17 ประตูในฤดูกาล 2002/03 ได้เตะตาโชเซ่ มูรินโญ่ ที่ขณะนั้นยังเป็นผู้จัดการทีมของปอร์โต้ ทว่า ทีมดังของโปรตุเกส ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ ดร็อกบา มาร่วมล่าตาข่ายได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายซบ มาร์กเซย
        ในฤดูกาลที่ 2 กับโอแอ็ม หัวหอกไอวอรี่โคสต์ ก็ซัดไป 18 ประตูจากการลงสนามในลีก 35 นัด และทำได้ 6 ประตูในการแข่งขันยูฟ่า คัพ ซึ่งมาร์กเซย ทะยานเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ
        จากนั้น "เดอะ ดร็อก" ก็ได้เซ็นสัญญากับ เชลซี ซึ่งมี มูรินโญ่ เป็นนายใหญ่ของทีม และกลายเป็นกำลังสำคัญในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2004/05 จวบจนถึงปัจจุบัน
        นอกจากจะเป็นศูนย์หน้าที่เชลซีแทบจะขาดไม่ได้แล้ว ดร็อกบา ยังเป็นกัปตันทีมชาติไอวอรี่โคสต์ด้วย และผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาก็ทำให้ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทวีป แอฟริกาปี 2006 ไปครอง โดยเขาติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในเกมที่เสมอกับแอฟริกาใต้ 0-0 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2002 และเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม "ช้างดำ" ในเวลานี้หลังทำไปแล้ว
สโมสรอาชีพ
ปี
สโมสร
ลงเล่น
ประตู
1998 - 2002 เลอ ม็องส์ 63 12
2002 - 2003 แก็งก็อง 45 20
2003 - 2004 มาร์กเซย 35 18
2004 - ปัจจุบัน เชลซี 170 78


ทีมชาติ
2002 - ปัจจุบัน ไอวอรี่โคสต์ 52 34
(ข้อมูลนับถึงวันที่ 4 พ.ค. 2008)
ความสำเร็จในการเล่นอาชีพ
- นักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาปี 2006
- แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2007 กับเชลซี
- ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 2006/07 กับเชลซี (20 ประตู)
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2005/2006 กับเชลซี
- แชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ กับ เชลซี ในปี 2005
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004/2005 กับเชลซี
- แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2005 กับเชลซี
- รองแชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2004 กับ มาร์กเซย

Fernando José Torres Sanz



ข้อมูลส่วนตัว :


ชื่อเต็ม :เฟอร์นานโด โฮเซ่ ตอร์เรส ซานซ์
วันเกิด : 20 มีนาคม 2527 (20 March 1984) 26 ปี
สถานที่เกิด :มาดริด, สเปน
สัญชาติ : สเปน
ส่วนสูง : 183 ซ.ม. (6 ฟุต 1)
น้ำหนัก : 70 ก.ก.
ฉายา: เอลนีโน่ (El Nino)
สโมสร : ลิเวอร์พูล (2007-ปัจจุบัน)
ตำแหน่ง : กองหน้า



ประวัติ :

เฟอร์นานโด ตอร์เรส เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1984 หรือปี พ.ศ. 2527 เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งพุ่งแรงชาว สเปน ที่ย้ายจากสโมสรบ้านเกิดอย่าง แอตเลติโก มาดริด มาสังกัดสโมสร ลิเวอร์พูล ในประเทศอังกฤษในฤดูกาล 2007/08 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติสูงที่สุดของสโมสร (26.5 ล้านปอนด์) เขาเกิดในกรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน

ตอร์เรส อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนปัจจุบัน หากเขาเลือกไปอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง รีล มาดริด โชคชะตาจึงกำหนดให้เขาไปแจ้งเกิดที่ แอตเลติโก มาดริด ทีมคู่แข่งร่วมเมืองนั่นเอง ฉายาของเขาคือ เอลนีโน่ (El Nino) ที่มีความหมายว่า เด็กน้อย เนื่องมาจากใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และหล่อเหลาของเขานั่นเอง นอกจากแฟนฟุตบอลแล้ว เขาเองยังมีแฟนคลับ (สาวๆ) ที่ไม่ใช่แฟนฟุตบอลอีกมากมายทั่วโลก



ชีวิตในวันเด็ก :


ตอร์เรส วัยเด็ก นั้นก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเด็กๆทั่วไปมากนัก ที่แตกต่างนิดหน่อยนั่นก็คือ กีฬาที่เขาเล่นมีเพียงแต่ ฟุตบอล พออายุ 5 ปีเขาได้ไปร่วมทีมฟุตบอลของศูนย์กีฬาแถวบ้านโดยการผลักดันจากพ่อของเขานั่น เอง ตอร์เรส มักจะฝันอยู่เสมอว่าอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนกับนักฟุตบอลหลายๆคนที่ เขาเห็นในโทรทัศน์ และจากการสนับสนุนของครอบครัว รวมไปถึงคุณปู่ของเขา ผู้ที่เป็นแฟนตัวยงของ แอตเลติโก มาดริด เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้เขาได้ตามหาในฝันวัยเด็ก






เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ :



2001-2007 :
แอตเลติโก มาดริด


แล้วฝันนั้นก็เริ่มเปิดทางให้เขาเมื่อเขาอายุ ได้ 10 ปี เขาได้เล่นให้กับทีม ราโย 13 (Rayo 13) ทีมแรกในชีวิตการเล่นฟุตบอล (จริงๆ) เขาฉายแววด้วยการทำประตูถึง 55 ประตู ทำให้ได้โควต้าการคัดเลือกเข้าฝึกหัดเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสร แอตเลติโก มาดริด อายุ 12 ปีเขาก็ติดชุด จูเนียร์ทีมบี จนกระทั่งอายุ 15 ปี เขาได้ทำการเซ็นสัญญาฉบับแรกในฐานะนักเตะทีม เยาวชน ฝันของเขาเป็นจริงแล้ว


ปี 2005 ดูจะเป็นปีที่เขาผิดหวังมากที่สุดเพราะ เขายิงได้แค่ 16 ประตูเท่านั้นและทีมก็ไม่สามารถลุ้นแชมป์อะไรได้เลย


ตอร์เรส มีข่าวการโยกย้ายทีมมาโดยตลอดหลังจากฟุตบอลโลก ไม่ว่าจะเป็น เชลซี แมนยูฯ สเปอร์ ฯลฯแต่ที่เห็นจะชัดเจนขึ้นมาก็เห็นจะเป็นนัดหนึ่งในลาลีกา เมื่อเขาทำประตูได้และถอดปลอกแขนกัปตันซึ่งใต้ปลอกแขนเขียนว่า You?ll never walk alone ซึ่งเป็นสโลแกนของทีม ลิเวอร์พูล


ตอร์เรส ออกมายอมรับว่า เขาเองก็เป็นแฟนฟุตบอลตัวยงของทีม ซึ่งคงจะดีไม่น้อยหากวันหนึ่งเขาเองได้ไปเป็นสมาชิกของ เดอะ คอป แล้ววันนั้นก็มาถึงหลังจากยื้อยุด ฉุดกระชากกันมานานด้วยสนนราคาค่าตัวที่แพงลิบ ทำให้หลายๆทีมต้องยอมถอนตัว และเปิดทางให้ ลิเวอร์พูล ได้คว้าตัวมาร่วมทีมด้วยราคาเป็นประวัติการณ์ 26.5 ล้านปอนด์ สมใจเฮีย เบนิเตส และสาวกเดอะค็อป



<<< ประตูลูกแรกของ ตอร์เรส กับลิเวอร์พูล


2007-ปัจจุบัน : ลิเวอร์พูล


ค่าตัวในการเซ็นสัญญาของเฟร์นันโด ตอร์เรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติสูงสุดของลิเวอร์พูล แม้ว่าสื่ออังกฤษรายงานว่า ค่าตัวนักเตะอยู่ที่ประมาณ 26.5 ล้านปอนด์ ราฟาเอล เบนิเตซยืนยันในการสัมภาษณ์กับสื่อสเปนว่า ค่าตัวอยู่ที่เกือบ 20 ล้านปอนด์ ยังมีรายงานอีกว่า ตอร์เรสยอมลดค่าเหนื่อยสำหรับการย้ายตัว หนังสือพิมพ์ The Times รายงานว่า ค่าตัวลดจาก 103,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในสเปน เหลือ 90,000 ปอนด์


ในวันที่ 11 สิงหาคม2550 ตอร์เรสลงแข่งนัดเปิดตัวให้ลิเวอร์พูล โดยแข่งกับ แอสตันวิลลา และชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ตอร์เรสยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในการลงแข่งครั้งแรกในสนามแอนฟีลด์ ในวันที่ 19 สิงหาคม ในนาทีที่ 16 ผลเสมอ 1-1 กับเชลซี โดยวิ่งไปรับบอลจากการส่งของเจอร์ราร์ด ตอร์เรสเลี้ยงผ่านกองหลังเชลซี ทาล เบน ฮาอิม และยิงผ่านเมือผู้รักษาประตูปีเตอร์ เช็คเข้าไปตุงตาข่ายเชลซี


ตอร์เรสยิงแฮตทริกเป็นครั้งแรกให้สโมสร ในวันที่ 25 กันยายน ในนัดเยือน ถ้วยคาร์ลิงคัพกับเรดดิ้ง และชนะไป 4-2 [2] โดยประตูแรกของตอร์เรสในเกม คือประตูที่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1 ลูกที่สองของเขาทำให้ ลิเวอร์พูลนำ 3-2 และตามด้วยลูกปิดท้าย 4-2 หลังจากจบการแข่งขัน ตอร์เรสได้รับการคิดเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และเนื่องจากตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้สำเร็จ เขาจึงได้รับลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันเป็นของที่ระลึก


ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์2551 ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกแรกในลีกได้สำเร็จ ในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะทีมมิดเดิลส์โบร 3-2 และในวันที่ 5 มีนาคม ปีเดียวกัน ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้อีกครั้ง ในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-0 ทำให้เฟร์นันโด ตอเรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติว่า เป็นผู้เล่นคนแรกต่อจากแจ็คกี้ บัลเมอร์ ที่เคยทำแฮตทริกในเกมที่แอนฟีลด์ติดต่อกัน 2 นัด ในปี 1946 และยังเป็นนักเตะคนที่ 5 ของสโมสรที่สามารถทำได้ ตอร์เรสได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งเดือนกุมภา พันธ์ของพรีเมียร์ชิพอังกฤษ โดยนอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะนอกสหราชอาณาจักรคนแรกที่ยิงได้ 15 ประตูในพรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูล


ในวันที่ 15 มีนาคม 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรสกลายเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมรส ต่อจาก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (ปี 1995-1996)ที่สามารถทำประตูในลีกได้เกินถึง 20 ประตูใน 1 ฤดูกาล เมื่อเขาทำประตูในนาทีที่ 47 ในเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะทีมเรดดิง 2-1 และหลังจากนั้น ตอร์เรสก็สามารถยิงประตูช่วยให้ทีมเอาชนะอินเตอร์ มิลานในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 สุดท้าย


วันที่ 13 เมษายน 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรสสามารถทำประตูที่ 30 ของตัวเองให้กับลิเวอร์พูลได้ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมา โดยประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะทีมแบ ล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-1 ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ชิพของอังกฤษ และด้วยประตูนี้เอง ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรสสามารถทำสถิติ ยิงประตูติดต่อกัน 7 นัด ในสนามแอนฟีลด์


และในวันสุดท้ายของฤดูกาล ณ สนามของทีมสเปอร์สในวันที่ 11 พฤษภาคม 2551 ตอร์เรสได้ทำประตูสุดท้ายของฤดูกาลนี้เป็นประตูที่ 33 ที่ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูเกิน 30 ประตูในหนึ่งฤดูกาล โดยก่อนหน้านั้น มีเพียง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ทำได้ 30 ประตู ในปี 1996-1997 โดยเฉพาะวันที่ 4 พฤษภาคม 2551 ณ สนามแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมแมนฯ ซิตี้ ทีมชนะไป 1-0 โดยตอร์เรสเป็นผู้ยิงประตูตัดสินชัยชนะ ทำให้เขาสามารถทำประตูติดต่อกันเป็นนัดที่ 8 ในถิ่นแอนฟีลด์ ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่ทำประตูในเกมลีกสูงต่อหน้าแฟนบอลในแอล ฟีลด์ได้ 8 นัดติดต่อกัน โดยมี โรเจอร์ ฮันท์ ที่ทำได้อีกคนแต่ทำได้ในลีกดิวิชั่น 2 เดิมในช่วงทศวรรษที่ 60 ฤดุกาล 1961-1962


33 ประตู จาก 46 นัดในทุกรายการ เฉพาะเกมลีกเขาทำไป 24 ประตู จาก 33 นัดที่ลงแข่ง และทั้ง 24 ประตูไม่มีลูกจากจุดโทษเลย ทำให้ เฟร์นันโด ตอร์เรส ทำสถิติเป็นนักเตะต่างชาติที่ทำประตูสูงสุดเพียงปีแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ ลีกคนใหม่ และทำให้เขามีสถิติยิงปรตูเฉลี่ยทุกๆ 1.39 เกม ทำลายสถิติผู้เล่นที่ทำประตูเฉลี่ยสูงสุดให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาลแรก ของ จอห์น อัลดิดจ์ (1.55 เกม) ได้อย่างสิ้นเชิง และยังเอาชนะนักเตะอย่าง เอียน รัช (1.63), โรเจอร์ ฮัน (1.65), ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (1.83). ไมเคิ่ล โอเว่น (1.91) และ เคนนี่ ดัลกลิช (2) ได้อีกด้วย และทุกนัดที่เขาสามารถทำประตูได้ในเกมลีกทีมจะไม่แพ้อีกด้วย และ 25 ประตู ใน 33 ประตูที่เขาทำได้ในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นในสนามแอนฟีลด์อีกด้วย



ผลงานในระดับชาติ :


ในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ตอร์เรสชนะเลิศทัวร์นาเมนต์อัลการ์ฟกับทีมชาติสเปนชุดอายุไม่เกิน 16 ปี ในเดือนพฤษภาคม ทีมีได้ลงแข่ง ในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และชนะเลิศ โดยตอร์เรสยิงประตูชัยซึ่งเป็นประตูเดียวในนัดชิงชนะเลิศ ตอร์เรสยิงประตูได้มากที่สุดในการแข่งขัน (7 ประตูใน 6 เกม) และได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬายอดเยี่ยม


ในปี 2546 ตอร์เรสได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกให้กับทีมชาติสเปน ในวันที่ 6 กันยายน 2546 ในการแข่งกระชับมิตรกับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงประตูแรกให้ทีมชาติได้ในวันที่ 28 เมษายน 2547 โดยแข่งกับอิตาลี เมื่อปิดฤดูกาล ตอร์เรสได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติสเปน เพื่อแข่งในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปปี 2547 ตอร์เรสได้ลงสนาม โดยการเปลี่ยนตัว ใน 2 เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มของสเปน แต่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในการแข่งนัดชี้ชะตากับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงชนเสาในนาทีที่ 62 หลังจาก นูโน โกเมสยิงให้โปรตุเกสนำ ในนาทีที่ 57 สเปนแพ้ไป 1-0 และตกรอบ


ในการลงแข่งครั้งแรกในฟุตบอลโลกในปี 2549 ในเยอรมนี ตอร์เรสยิงประตูสุดท้าย ในเกมที่ชนะยูเครน 4-0 ด้วยลูกวอลเลย์ ในนัดที่สองรอบแบ่งกลุ่ม ตอร์เรสยิง 2 ประตูในนัดเจอตูนีเซีย ประตูแรกในนาทีที่ 76 ทำให้สเปนนำ 2-1 และอีกลูกจากจุดโทษ ในนาทีที่ 90 ตอร์เรสไม่ได้ลงในนัดกระชับมิตรกับโรมาเนีย ในเดือนพฤศจิกายน 2549 แต่ได้ลงเล่นในนัดกระชับมิตรกับอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยสเปนชนะไป 1-0


เฟร์นันโด ตอร์เรสแสดงความดีใจ หลังยิงประตูได้ในฟุตบอลโลกในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ปี 2551 รอบคัดเลือก ตอร์เรสยิงประตูแรกในนัดเจอกับลิกเตนสไตน์ ซึ่งสเปนชนะไป 4-0 ตอร์เรสยิงลูกเสียบมุมประตู จากระยะ 11 เมตร ตอร์เรสได้ลงเล่นในนัดเจอกับไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งสเปนแพ้ 3-2 สเปนได้แข่งกับสวีเดน และแพ้ไป 2-0 ในนัดนี้ ในนัดเจอเดนมาร์ก ตอร์เรสได้เปลี่ยนตัวลงมาเล่นในนาทีที่ 64 แต่ไม่สามารถยิงประตูได้ แต่สเปนก็ชนะไป 2-1


ตอร์เรสเป็นตัวสำรองอีกครั้ง แต่ได้เปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 43 แทนเฟร์นันโด โมเรียนเตส ตอร์เรสยิง 2 ครั้ง แต่ไม่ตรงกรอบทั้งสองครั้ง แต่สเปนยังชนะ 1-0 จากประตูของอีเนียสตาในนาทีที่ 80 ตอร์เรสไม่ได้ถูกเลือกในนัดที่สเปนชนะลัตเวีย 2-0 และนัดเจอลิกเตนสไตน์ 2-0 ตอร์เรสได้ลงเล่นในนัดเสมอ 1-1 กับไอซ์แลนด์ ซาบี อาลอนโซเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล โดนใบแดงไล่ออก ในนัดเจอลัตเวีย ตอร์เรสยิงได้ 1 ประตู สเปนได้เป็นที่ 1 ของกลุ่ม และตอร์เรสยิงให้สเปนได้ 2 ประตู



ความลับที่น่ารู้5อย่างของ เฟร์นานโด ตอร์เรส :


- ตอร์เรสสนิทกับเพื่อนร่วมทีมชาติสเปน เซร์คีโอ รามอส กองหลังดาวรุ่งของ เรอัล มาดริด


- ตอร์เรสเดทกับแฟนสาวโอลายา (Olalla) ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเขารู้จักตั้งแต่อายุแปดขวบ โดยครอบครัวของตอร์เรส ย้ายไปอยู่บ้านในถนนเดียวกับแฟนสาวในกาลิเซีย


- ตอร์เรสแสดงหนังในมิวสิกวิดีโอ เอลกันโตเดลโลโก ของ 'Ya Nada Volvera a Ser Como Antes'


- ตอร์เรส รับบทนักแสดงสมทบใน Torrente 3 ซึ่งเป็นหนังตลกสเปน ในปี 2548 เขาแสดงเป็นตัวเองและหลบหลีกอันตราย โดยเตะลูกระเบิดมือ เหมือนกับเป็นลูกฟุตบอล


- เขาสักชื่อ "Fernando" ที่ด้านในแขนซ้าย ด้วยภาษาTengwar สักหมายเลข 9 ที่ด้านในแขนขวา และสักวันที่ 7-7-2001 เป็นตัวเลขโรมัน ที่ด้านในน่องขวา



เกียรติประวัติ :

ระดับสโมสร


แอตเลติโก มาดริด


แชมป์

- สเปน ดิวิชั่น 2: พ.ศ. 2544-45
- ไนกี้คัพ ยุโรป ปี 2541 (บอลเยาวชนอายุไม่เกิน 15 ปี)



ทีมชาติสเปน


แชมป์

- ทัวร์นาเมนต์อัลการ์ฟ ปี 2544 รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี
- ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ในปี 2544
- ปี 2545 ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี



ระดับส่วนตัว


แชมป์

- ผู้เล่นยุโรปยอดเยี่ยม รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ปี 2541
- ผู้เล่นยอดเยี่ยม, ยิงประตูสูงสุด ( 7 ลูก ใน 6 เกม ) ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ปี 2544
- ผู้เล่นยอดเยี่ยม, ยิงประตูสูงสุด ( 4 ลูก ใน 4 เกม ) ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ปี 2545
- ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์ ฤดูกาล 2007-2008 พรีเมียร์ชิพอังกฤษ

FRANK LAMPARD


         
          FRANK LAMPARD

ชื่อเต็ม         : Frank
James Lampard Juniorวันเกิด          : 20 June 1978
สถานที่เกิด    : Romford ,London Englandส่วนสูง          : 183 cm.น้ำหนัก          : 87 kg. ตำแหน่ง        : Central / Attacking Midfielder


    ประวัติ   แฟรงค์ แลมพาร์ด เริ่มต้นอาชีพฟุตบอลกับสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยลงเล่นกับทีมเยาวชนตั้งแต่ ปี 1993 และสร้างผลงานได้ดีพอสมควร โดยเขายังเป็นลูกชายของแฟร้งค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ ผู้ช่วยคนสำคัญของแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์กุนซือเวสต์แฮมขณะนั้นซึ่งเป็นลุงของเขา

       ฤดูกาล 2001-2002
เขากลายมาเป็นนักเตะของเชลซีโดยเซ็นสัญญาในวันที่ 14 มิถุนายน 2001 ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ และเริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งที่ท้าทายใหม่อีกครั้ง โดยเขาลงเล่นเป็นมิดฟิลด์เคียงข้างกับเอมมานูเอล เปอร์ตี ซึ่งถือว่าเป็นคู่กองกลางที่แข่งแกร่งมาก เขาพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในฤดูกาลแรกของทีมสิงโตน้ำเงินคราม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนัดชิงพ่ายกับอาร์เซนอล ซึ่งฤดูกาลนี้เองที่อาร์เซนอลคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งที่สอง โดยแลมพาร์ดลงเล่นในลีกทั้งสิ้น 37 นัด ทำได้ 5 ประตู และ 1 ประตูจาก 4 เกมในยูฟ่าคัพ ถึงแม้ว่าฤดูกาลนี้เขาจะโชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีชื่อติดทีมชาติไปร่วมฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น

       ฤดูกาล 2002/2003
จากความผิดหวังที่ไม่ได้ร่วมทีมไปฟุตบอลโลกทำให้เขาตั้งใจเล่นมากขึ้นกว่า เดิม และพยายามอย่างยิ่งที่จะไปยึดตัวจริงในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีเลยทีเดียวโดยพาทีมคว้าอันดับ 4 ของลีก แย่งตำแหน่งการไปเล่นแชมเปี้ยนลีกให้ทีมได้สำเร็จ โดยฤดูกาลนี้เขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 6 ประตู และ 1 ประตูจาก 2 เกมในยูฟ่าคัพ จากผลงานที่ดีวันดีคืนของเขาทำให้เขามีโอกาสก้าวขึ้นไปติดทีมชาติบ่อยครั้ง ขึ้น

       ฤดูกาล 2003/2004 ปีนี้เขาโชว์ฟอร์มได้ดีพอสมควร ทั้งในนามทีมชาติ และกับสโมสรโดยเขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 10 ประตู และ 4 ประตูจาก 14 เกมในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก เขาได้รางวัลอันดับ 2 นักเตะยอดเยี่ยมของ PFA โดยเป็นรอง เธียร์รี่ อองรี นักเตะเวิร์ลคลาสของอาร์เซนอล และปีนี้เองเขายังทำประตูในนามทีมชาติเป็นครั้งแรกในนัดกระชับมิตรพบกับ โครเอเชีย ในวันที่ 20 สิงหาคม 2003
       ฤดูกาล  2004/2005 ปีนี้เองเชลซีมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยการมาของ โฮเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมคนใหม่ซึ่งพกดีกรีมามากมายทั้งแชมป์ลีกโปรตุเกส แชมป์ยูฟ่าคัพ และแชมป์เปี้ยนลีก เขาเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมมากมาย แต่แฟร้งค์ แลมพาร์ดก็ยังเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมรวมดาราโลกอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ทีมผิดหวังเขาพาทีมขึ้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ และทะลุไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายของแชมป์เปี้ยนลีก
       ฤดูกาล  2005/2006 เขายังโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างสม่ำเสมอ พาต้นสังกัดขึ้นสู่จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ด้วยคะแนนท่วมท้น และยังยิงประตูอย่างต่อเนื่อง โดยทำลายสถิติลงสนามติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ชิพของเด วิด เจมส์ที่ทำไว้ 159 นัดลงอย่างสิ้นเชิง โดยฤดูกาลนี้เขาทำได้ 20 ประตู เป็นประตูจากพรีเมียร์ลีก 16 ประตู จากการลงเตะ 35 นัด ซึ่งสูงที่สุดในบรรดากองกลางจากพรีเมียร์ลีก และ 2 ประตูจากลีกคัพ และอีก 2 ประตูจากยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก และพาเชลซีได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกสมัย
       ฤดูกาล  2006/2007 ปีนี้เขาก็ยังยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ทำได้ถึง 21 ประตูจากพรีเมียร์ลีก 11 ประตู จากการลงเตะ 36  นัด เอฟเอคัพ
6 ประตู ลีกคัพ 3 ประตู ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก 1 ประตู

       ฤดูกาล  2007/2008 ในปีนี้อาจเป็นปีที่โชคไม่ค่อยดีสำหรับเขา เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บและสูญเสียมารดา แต่ก็ยังสามารถทำประตูสำคัญได้จากจุดโทษในนัดเจอลิเวอร์พูล เกมยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกรอบรองชนะเลิศ และฤดูกาลนี้เขาทำประตูได้ถึง 20 ประตู จากพรีเมียร์ลีก 10 ประตูจากการลงเตะ 23  นัด เอฟเอคัพ 2 ประตู ลีกคัพ 4 ประตู และยูฟ่าแชมเปี้ยนลีค 4 ประตู

       ฤดูกาล  2008/2009 เขา ต่อสัญญาใหม่ออกไปอีก 5 ปี และยังรักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างดี ทำประตูในทุกรายการ 20 ประตู จากพรีเมียร์ลีก 12 ประตู จากการลงเตะ 37 นัด ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก 3 ประตู ลีกคัพ 2 ประตู และเอฟเอ คัพ 3 ประตู และเป็นประตูสำคัญให้ทีมกลับมาเอาชนะเอฟเวอร์ตันคว้าแชมป์ไปในที่สุด ด้วยฟอร์มของเขา ทำให้ได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของเชลซี ประจำฤดูกาลนี้


     เกียรติประวัติPremier League    :  2004/05 , 2005/06FA Cup                  :  2006/07 ,2008/09
Carling Cup           :
  2004/05 , 2006/07
Community Shield :
  2005

John Terry


   JOHN TERRYชื่อเต็ม         : Frank James Lampard Juniorวันเกิด          : 7 December 1980
สถานที่เกิด    : Barking
,London Englandส่วนสูง          : 183 cm.น้ำหนัก          : 76 kg. ตำแหน่ง        : Central Defender
            ประวัติ
    เล่น ฟุตบอลกับเชลซีมาตั้งแต่สมัยเยาวชน เล่นตำแหน่งกองหลังตัวกลาง ติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกในปี 2003เขาเป็นรับผิดชอบสูงและเกลียดความพ่ายแพ้
       จอห์นเกิดทางตะวันออกของลอนดอน เขาอยู่กับเชลซี ตั้งแต่อายุ 14ขวบโดยตอนนั้นเขาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ก่อนจะรับบทเซนเตอร์แบ็ก ในทีมเยาวชนเนื่องจากทีมขาดตัวเลือกในเกมรับ เขาไม่เคยถอยหลังโดยมีสภาพร่างกายที่สูงใหญ่อย่างรวดเร็วเข้าช่วย

     การถูกยืมตัวช่วงสั้นๆ ไปเล่นให้ฟอเรสต์ช่วยให้ฝีเท้าเขาพัฒนาและได้เรียนรู้การเล่นจากมาร์กเซล เดอไซญี่ และฟร็องค์ เลอเบิฟ เขาได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีเพียงสองปีหลังลงสนามนัดแรก หลังจากทิ้งปัญหานอกสนามช่วงสั้นๆ ออกไปแล้ว จอห์นกลับมามุ่งมั่นกับเกมของเขาใหม่และถูกเรียกติดทีมชาติครั้งแรกในเดือน มิถุนายน ปี 2003
ความผิดหวังที่สุดของเขากับการเล่นให้เชลซี คือเขาป่วยในตอนเช้าเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ปี 2002 ที่ทีมพ่ายและภายหลังต่อมาเขาก็ถูกตัดจากทีมตัวจริง ความภูมิใจที่สุดของเขาคือการรับบทกัปตันทีมต่อจากมาร์กเซล เดอไซญี่ และนำสโมสรคว้าแชมป์ในปีแรกที่เขาทำหน้าที่นี้
กับแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ที่ได้ก่อนหน้านี้เช่นกัน จอห์นเป็นหนึ่งในกัปตันทีมเชลซี เพียงสี่คนที่นำสโมสรคว้าแชมป์สำคัญได้และเขาเป็นนักเตะที่ได้ลงเล่นมากกว่า คนอื่นในฤดูกาล 2004/05 แถมยังยิงได้แปดประตูที่สำคัญๆ
เขาได้รับการโหวต ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากเพื่อนร่วมอาชีพ แชมป์พรีเมียร์ชิพหนแรกและความสามารถอันน่าทึ่งของจอห์น ทำให้โชเซ่ มูรินโญ่ ยกเขาเป็นเซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดในโลก
       จอห์น เทอร์รี่ เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง เป็นขวัญและกำลังใจให้กับลูกทีมทั้งเชลซีและทีมชาติอังกฤษ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะเคยเป็นแบดบอย ติดเหล้าและการพนัน แต่เขาก็สามารถปรับปรุงตัวใหม่ และก้าวไปสู่ความสำเร็จได้มั่นคง ว่ากันว่าเจทีจะหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าหรือเบียร์ด้วยการดื่มน้ำส้มคั้นแทน ทุกครั้งที่มีการเลี้ยงฉลองที่ผับ หรือปาร์ตี้


 เกียรติประวัติ
Premier League    :  2004/05 , 2005/06FA Cup                  :  2006/07 ,2008/09
Carling Cup           :
  2004/05 , 2006/07
Community Shield :
  2005




สนาม สแตมฟอร์ดบริดจ์

สแตมฟอร์ดบริดจ์


สนามฟุตบอลสแตมฟอร์ดบริดจ์
สแตมฟอร์ดบริดจ์ (Stamford Bridge) เป็นสนามฟุตบอลแห่งเดียวของเชลซีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมาตั้งอยู่ในเขตฟูแลม ในลอนดอน โดยเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2420 โดยในช่วง 28 ปีแรกที่เปิดใช้ ได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของสนามกรีฑาด้วย สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ออกแบบโดยสถาปนิกชาวสกอต บรรจุคนได้กว่า 42,000 คน


Note: ธงชาติที่ปรากฎบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่า ตามความเหมาะสม เพราะบางผู้เล่นอาจถือสองสัญชาติ
หมายเลข
ตำแหน่ง ผู้เล่น
1 Flag of the Czech Republic GK ปีเตอร์ เช็ก
2 Flag of เซอร์เบีย DF บรานิสลาฟ อิวาโนวิช
3 Flag of อังกฤษ DF แอชลี่ย์ โคล
4 Flag of บราซิล DF ดาวิด ลูอิซ
5 Flag of กานา MF มิคาเอล เอสเชียง
7 Flag of บราซิล MF รามิเรส
8 Flag of อังกฤษ MF แฟรงค์ แลมพาร์ด (รองกัปตันทีม)
9 Flag of สเปน FW เฟร์นานโด ตอร์เรส
10 Flag of อิสราเอล MF ยอสซี่ เบนายูน
11 Flag of โกตดิวัวร์ FW ดิดิเยร์ ดร็อกบา
12 Flag of ไนจีเรีย MF จอห์น โอบี มิเกล
15 Flag of ฝรั่งเศส MF ฟลอรองต์ มาลูด้า
17 Flag of โปรตุเกส DF โจเซ่ โบซิงวา
18 Flag of รัสเซีย MF ยูริ เซอร์คอฟ
19 Flag of โปรตุเกส DF เปาโล แฟร์ราร่า

หมายเลข
ตำแหน่ง ผู้เล่น
21 Flag of โกตดิวัวร์ FW ซาโลมง กาลู
22 Flag of อังกฤษ GK รอส เทิร์นบูล
23 Flag of อังกฤษ FW ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์
26 Flag of อังกฤษ DF จอห์น เทอร์รี่ (กัปตันทีม)
33 Flag of บราซิล DF อเล็กซ์
39 Flag of ฝรั่งเศส FW นิโกล่าส์ อเนลก้า
40 Flag of โปรตุเกส GK เฮนริเก้ ฮิลาริโอ
43 Flag of the Netherlands DF เจฟฟรี่ย์ บรูม่า
44 Flag of ฝรั่งเศส FW กาเอล กาคูต้า
45 Flag of อิตาลี FW ฟาบิโอ บอรินี่
46 Flag of อังกฤษ MF จอร์ช แม็คอีชแรน

อดีตผู้เล่นที่โด่งดัง

(นับปีที่เข้ามาในสโมสร)
  • ทศวรรษที่ 1990
Note: ธงชาติที่ปรากฎบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่า ตามความเหมาะสม เพราะบางผู้เล่นอาจถือสองสัญชาติ
หมายเลข
ตำแหน่ง ผู้เล่น
2 Flag of โรมาเนีย
แดน เปเตรสคู
3 Flag of อังกฤษ
แกรม เลอโซ
5 Flag of ฝรั่งเศส
ฟร้องซ์ เลอเบิฟ
11 Flag of อังกฤษ
เดนนิส ไวส์ (อดีตกัปตันทีม)
9 Flag of อิตาลี
จิอันลูกา วิอัลลี่
25 Flag of อิตาลี
จิอันฟรังโก้ โซล่า
19 Flag of นอร์เวย์
ทอเร อังเดร โฟล
6 Flag of ฝรั่งเศส
มาแซล เดอไซญี่ (อดีตกัปตันทีม)
22 Flag of ไอซ์แลนด์
ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซน
36 Flag of เดนมาร์ก
เจสเปอร์ กรุนชา
9 Flag of the Netherlands
จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์
16 Flag of อิตาลี
โรแบร์โต้ ดิ มัทเทโอ
23 Flag of อิตาลี
คาร์โล คูดิชินี่

  • ทศวรรษที่ 2000
Note: ธงชาติที่ปรากฎบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่า ตามความเหมาะสม เพราะบางผู้เล่นอาจถือสองสัญชาติ
หมายเลข
ตำแหน่ง ผู้เล่น
11 Flag of Ireland
เดเมี่ยน ดัฟฟ์
13 Flag of ฝรั่งเศส
วิลเลียม กัลลาส
16 Flag of the Netherlands
อาเยน ร็อบเบน
14 Flag of แคเมอรูน
เฌเรมี่ เอ็นจิตาป
18 Flag of อังกฤษ
เวย์น บริดจ์
4 Flag of ฝรั่งเศส
โคล้ด มาเกเลเล่
24 Flag of อังกฤษ
ฌอน ไรท์ ฟิลิปส์
10 Flag of อังกฤษ
โจ โคล
13 Flag of เยอรมนี
มิชาเอล บัลลัค
35 Flag of บราซิล
ฮูเลียโน เบลเล็ตติ
20 Flag of โปรตุเกส
เดโก้
6 Flag of โปรตุเกส
ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่

ผู้เล่นที่โด่งดัง

2001 - ปัจจุบัน
ชื่อ สัญชาติ ตำแหน่ง เล่นให้เชลซี จำนวนครั้ง (ตัวสำรอง) รวม ประตู
จิอันฟรังโก้ โซล่า Flag of อิตาลี FW 1996-2003 229 (44) 273 59
จิมมี่ ฟรอยด์ ฮัสเซลเบงค์ Flag of the Netherlands FW 2000-2004 136 (17) 153 69
เจสเปอร์ กรุนชา Flag of เดนมาร์ก MF 2000-2004 104 (32) 136 7
ไอเดอร์ กุ๊ดจอห์นเซน Flag of ไอซ์แลนด์ FW 2000-2006 186 (60) 246 54
ทอเร อังเดร โฟล Flag of นอร์เวย์ FW 1997-2001 112 (53) 165 34
มาแซล เดอไซญี่ Flag of ฝรั่งเศส DF 1998-2004 158 (2) 160 6
คาร์โล คูดิชินี่ Flag of อิตาลี GK 1999-2009 142 (4) 146 0
วิลเลียม กัลลาส Flag of ฝรั่งเศส DF 2001-2006 159 (12) 171 12
เดเมี่ยน ดัฟฟ์ Flag of Ireland MF 2003-2006 81 (18) 99 14
เฌเรมี่ Flag of แคเมอรูน MF 2003-2007 72 (24) 96 4
โคล้ด มาเกเลเล่ Flag of ฝรั่งเศส MF 2003-2008 144 (12) 156 2
เวย์น บริดจ์ Flag of อังกฤษ DF 2003-2009 87(13) 100 1
อาเยน ร็อบเบน Flag of the Netherlands MF 2004-2007 67 (16) 83 15
จอห์น ไรท์ ฟิลิปส์ Flag of อังกฤษ MF 2005-2009 82 (39) 121 4
โจ โคล Flag of อังกฤษ MF 2003-2010 188 (92) 280 39
มิชาเอล บัลลัค Flag of เยอรมนี MF 2006-2010 139 (29) 168 26
เบลเล็ตติ Flag of บราซิล DF 2007-2010 54 (25) 79 5
เดโก้ Flag of โปรตุเกส MF 2008-2010 42 (15) 57 6
ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ Flag of โปรตุเกส DF 2004-2010 233 (7) 240 10
แซม ฮันซิมสัน Flag of อังกฤษ DF 2006-2010 1 (3) 4 0

ผู้เล่นที่ยิงครบ 100 ประตู

พรีเมียร์ลีก-ถ้วยอื่น ๆ
ชื่อ สัญชาติ ตำแหน่ง เล่นให้เชลซี จำนวนครั้ง (ตัวสำรอง) รวม ประตู
แฟรงค์ แลมพาร์ด Flag of อังกฤษ MF 2001-ปัจจุบัน 449 (24) 473 156
ดิดิเยร์ ดร็อกบา Flag of โกตดิวัวร์ FW 2004-ปัจจุบัน 209 (48) 257 129

นักเตะยอดเยี่ยมประจำปี 1967-2010

Year Winner
1967 Flag of อังกฤษ ปีเตอร์ โบเน็ตติ
1968 Flag of สกอตแลนด์ ชาร์ลี คุก
1969 Flag of อังกฤษ เดวิด เว็บ
1970 Flag of อังกฤษ จอห์น ฮอลลินส
1971 Flag of อังกฤษ จอห์น ฮอลลินส
1972 Flag of อังกฤษ เดวิด เว็บ
1973 Flag of อังกฤษ ปีเตอร์ ออสกู๊ด
1974 Flag of อังกฤษ แกรี่ ล็อก
1975 Flag of สกอตแลนด์ ชาร์ลี คุก
1976 Flag of อังกฤษ เรย์ วิลกินส์
1977 Flag of อังกฤษ เรย์ วิลกินส์
1978 Flag of อังกฤษ มิกกี้ ดรอย
Year Winner
1979 Flag of อังกฤษ ทอมมี่ แลงลี่ย์
1980 Flag of อังกฤษ ไคล์ วอล์กเกอร์
1981 Flag of ยูโกสลาเวีย ปีเตอร์ โบโรต้า
1982 Flag of อังกฤษ ไมค์ ฟิลเลรี่
1983 Flag of เวลส์ โจอี้ โจนส์
1984 Flag of สกอตแลนด์ แพท เนวิน
1985 Flag of สกอตแลนด์ เดวิด สปีดี้
1986 Flag of เวลส์ เอ็ดดี้ นีดสวิกกี้
1987 Flag of สกอตแลนด์ แพท เนวิน
1988 Flag of อังกฤษ โทนี่ โดริโก้
1989 Flag of อังกฤษ เกรแฮม โรเบิร์ต
1990 Flag of the Netherlands เคน มองกู
1991 Flag of Ireland แอนดี้ ทาวเซ่น
1992 Flag of อังกฤษ พอล เอลเลียต
1993 Flag of จาเมกา แฟรงค์ ซินแคลร์
1994 Flag of สกอตแลนด์ สตีฟ คลาร์ก
Year Winner
1995 Flag of นอร์เวย์ เออร์แลนด์ จอห์นเซ่น
1996 Flag of the Netherlands รุด กุลลิต
1997 Flag of เวลส์ มาร์ก ฮิวจส์
1998 Flag of อังกฤษ เดนนิส ไวซ์
1999 Flag of อิตาลี จิอันฟรังโก้ โซล่า
2000 Flag of อังกฤษ เดนนิส ไวซ์
2001 Flag of อังกฤษ จอห์น เทอร์รี่
2002 Flag of อิตาลี จิอันฟรังโก้ โซล่า
2004 Flag of อังกฤษ แฟรงค์ แลมพาร์ด
2005 Flag of อังกฤษ แฟรงค์ แลมพาร์ด
2006 Flag of อังกฤษ จอห์น เทอร์รี่
2007 Flag of กานา มิคาเอล เอสเซียง
2008 Flag of อังกฤษ โจ โคล
2009 Flag of อังกฤษ แฟรงค์ แลมพาร์ด
2010 Flag of โกตดิวัวร์ ดิดิเยร์ ดร็อกบา

ทำเนียบผู้จัดการทีม

Year
1933-1939 เลสลี่ ไนท์ตัน
1939-1952 บิลลี่ แบร์เรลล์
1952-1961 เท็ด เดร็ค
1962-1967 ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้
1967-1974 เดฟ เซ็กตัน
1974-1975 รอน ซอวร์ต
1975-1977 เอ็ดดี้ แม็คเครดี้
1977-1978 เคน เชลลิโต้
1978-1979 แดนนี่ บลังค์ฟลาวเวอร์ส
1979-1981 เจฟฟ์ เฮิร์สต์
1981-1985 จอห์น นีล
1985-1988 จอห์น ฮอลลินส์
1988-1991 บ็อบบี้ แคมป์เบลล์
1991-1993 เอียน พอร์เตอร์ฟิลด์
1993 เดวิด เวบบ์
1993-1996 เกล็น ฮอดเดิ้ล
1996-1998 รุด กุลลิท
1998-2000 จิอันลูก้า วิอัลลี่
2000-2004 เคลาดิโอ รานิเอรี่
2004-2007 โชเซ่ มูรินโญ่
2007-2008 อัฟราม แกรนท์
2008-2009 หลุยส์ ฟิลิปเป สโคลารี
2009 กุส ฮิดดิงค์
2009-ปัจจุบัน คาร์โล อันเชลอตติ

สัญลักษณ์ทีม

ผลงาน

สถิติ

  • สถิติผู้ชมสูงสุด : ในสแตมฟอร์ด บริดจ์ นัดพบกับอาร์เซน่อล ในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1958 มีผู้ชมเข้ามาชมถึง 182,905 คน
  • สถิติผู้ชมน้อยที่สุด : ในสแตมฟอร์ด บริดจ์ นัดที่พบกับ ลินคอล์น ซิตี้ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1906 มีผู้ชมเพียง 110 คน
  • สถิติชนะสูงสุด : ในนัดพบกับ จิวเนส ฮัทคาเรจ ซึ่งถูกพวกเขาถลุงไปถึง 13-0 ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1971
  • สถิติชนะสูงสุด : ในนัดพบกับ วีแกน แอดแลนติก ซึ่งถูกพวกเขาถลุงไปถึง 8-0 ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ 2010
  • สถิติแพ้สูงสุด : ในนัดพบกับ วูล์ฟแฮมตัน วันเดอร์เรอร์ส ที่อัดพวกเขาไป 8-1 ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 1953
  • ผู้เล่นในลีกสูงสุด : รอนแฮร์ริส, 655 นัด, 1962-80
  • สถิติซื้อนักเตะค่าตัวแพงที่สุด : 50 ล้านปอนด์, เฟร์นานโด ตอร์เรส จาก ลิเวอร์พูล, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011
  • สถิติซื้อนักเตะค่าตัวแพงที่สุด : 30 ล้านปอนด์, อังเดร เชฟเชนโก้ จาก เอซี มิลาน, มิถุนายน ค.ศ. 2006
  • สถิติขายนักเตะแพงที่สุด : 44 ล้านปอนด์, อาร์เยน ร็อบเบน ไป เรอัลมาดริด, สิงหาคม ค.ศ. 2007
  • นักเตะที่ทำประตูรวมสูงสุดใน 1 ฤดูกาล :ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา , 37 ประตู , 2009-2010
  • นักเตะที่ทำประตูรวมสูงสุดในช่วงที่อยู่กับเชลซี : แฟรงค์ แลมพาร์ด, 156 ประตู, 2010
  • ยิงประตูรวมมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก : 103 ประตู, 2010